น้ำมันงาเป็นน้ำมันที่สกัดได้จากเมล็ดงาซึ่ง“น้ำมันงามี 2 ชนิด”
เมล็ดงาจะประกอบด้วยน้ำมันงาประมาณ 35-60% ซึ่งน้ำมันงาที่ดีจะมีลักษณะดังนี้
- ประกอบด้วยกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวสูง ที่สามารถช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายไม่ให้มากเกินไป
- น้ำมันงาสามารถเก็บไว้ได้นาน
- น้ำมันงาไม่จับตัวเป็นก้อน
- มีกลิ่นหอมน่ารับประทาน
ประโยชน์จากน้ำมันงา
- ในด้านความสวยความงาม อาทิ การป้องกันผิวหนังแห้งแตก การป้องกันผมแห้งแตกปลาย การใช้นวดบริเวณตามข้อกระดูก เป็นต้น
- น้ำมันงามีสารป้องกันการหืนสามารถเก็บไว้ได้นานและนำมาประกอบอาหารโดยไม่มีกลิ่นเหม็นหืน
- น้ำมันงาประกอบด้วยกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวสูงจึงเหมาะสำหรับบริโภคโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูงป้องกันโรคในระบบหัวใจและหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี
- มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายเช่น กรดลิโนเลอิคและโอเลอิคที่ช่วยในการเจริญเติบโตและสร้างความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง
โดยคุณสมบัตินี้สามารถช่วยลดอาการป่วยต่างๆ ได้อย่างมากมายตั้งแต่ ไข้หวัด ภูมิแพ้ ความดันโลหิตสูงเส้นเลือดอุดตัน ระบบสืบพันธุ์
และแม้กระทั่งการชะลอความแก่และการระบบสภาพผิวหนัง การใช้น้ำมันงามี 2 ประเภท คือใช้รับประทานและทา ในกรณีที่ใช้น้ำมันงาเพื่อรับประทานร่างกายจะได้รับวิตามินอีและกรดไขมันจำเป็นได้แก่กรดไขมัน linoleic และ oleic กรดไขมันนี้ร่างกายสามารถนำไปสร้างฮอร์โมนที่มีผลต่อการขยายหลอดเลือดช่วยลดความดันโลหิต
ป้องกันเกล็ดเลือดเกาะตัวเป็นลิ่มยับยั้งการสร้าง คอเลสเตอรอล ในร่างกายวิตามินอีในน้ำมันงานี้จะช่วยให้เซลล์ดูดซึมสารอาหารเข้าสู่เซลล์ได้ดี ร่างกายได้รับสารอาหารสมบูรณ์ เสริมสร้างความแข็งแรงให้ระบบภูมิคุ้มกัน และทำให้ผนังเซลล์ยืดหยุ่นสามารถขับของเสียออกจากเซลล์เข้าสู่ระบบขับถ่ายได้ดีรวมทั้งต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกายนอกจากนี้ในน้ำมันงายังมีสารที่เรียกว่า sesamal sesamin และ sesamolin
ซึ่งสารนี้จะช่วยเสริมคุณสมบัติของวิตามินอีในการป้องกันร่างกายจากการทำลายของอนุมูลอิสระ นอกจากนี้การบริโภคเมล็ดงาจะทำให้สารอาหารที่มีปริมาณไขมันประมาณ 45-57% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวมีปริมาณโปรตีนอยู่ไม่น้อยกว่า 20% และในเมล็ดงายังอุดมไปด้วยวิตามินบีทุกชนิด (ยกเว้นวิตามินบี 12) ซึ่งจะช่วยบำรุงสมอง ประสาทและป้องกันโรคเหน็บชา
ส่วนเกลือแร่มีประมาณ 4-6% ที่สำคัญคือธาตุเหล็ก ไอโอดีน สังกะสี แคลเซียมและฟอสฟอรัส โดยเฉพาะแคลเซียมและฟอสฟอรัสมีมากกว่าผักชนิดอื่นๆถึง 40 เท่าและ 20 เท่าตามลำดับและมีแคลเซียมมากกว่านมถึง 3 เท่าซึ่งจะเห็นว่าสารอาหารเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างหนึ่งที่อาจจะช่วยบรรเทาโรคบางชนิดได้เช่น โรคเหน็บชา โรคปวดตามข้อกระดูก เป็นต้น
อ่านบทความข่าวสารอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ your-free-tarot.com อัพเดตทุกสัปดาห์